นโยบายและแนวปฏิบัติด้านสังคม
ในปัจจุบันบริษัทมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสังคม โดยตั้งเป้าหมายให้เกิดการสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนในบริบทของมิติสังคมอย่างสมดุลเป็นภารกิจหลักขององค์กรในการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการผ่านสี่ประเด็นที่ประกอบไปด้วย การเคารพสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน ความรับผิดชอบต่อบุคลากร ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ และการมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีกับชุมชน
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญในการส่งเสริมคุณค่าจากภายในองค์กรไปสู่ภายนอก ตั้งแต่การพัฒนาความรู้และทักษะการทำงานของพนักงาน การเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ดูแลสุขภาพพนักงาน จัดทำเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ และสร้างความผูกพันต่อพนักงาน ส่งผลให้โรงพยาบาลสามารถส่งเสริมการบริการที่ดียิ่งขึ้น และสร้างความเป็นเลิศด้านบริการต่าง ๆ ทั้งในด้านการพัฒนาศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง การบริการสุขภาพดิจิทัล ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในสังคม การพัฒนานวัตกรรมการบริการสุขภาพ การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์สุขภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในสังคมให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนในรูปแบบการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างองค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย โดยการกำหนดกลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติงานให้ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย ดังนี้

บริษัทได้กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมในการดำเนินธุรกิจไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจ ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากล (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) ที่พนักงานทุกระดับต้องยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยมีแนวทางในการดำเนินงานเริ่มจาก
- การส่งเสริมการเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างเรื่อง เชื้อชาติ สีผิว เพศ อายุ ภาษา ศาสนา สถานภาพทางจิตใจ ความพิการหรือทุพพลภาพ สถานภาพทางสังคม แนวคิดทางการเมือง ตลอดจนสถานภาพเกี่ยวกับการสมรส เป็นต้น
- การให้การคุ้มครอง จากการเปิดโอกาสให้พนักงานหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน สามารถแสดงความคิดเห็น หรือร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องในบริษัท โดยมีกระบวนการและช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนทั้งออนไลน์ออฟไลน์ ที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ ช่องทางโทรศัพท์ Contact Center ติดต่อ 1270 กล่องรับเรื่องร้องเรียน/รับความคิดเห็น ตลอดจนนำส่งข้อมูลแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ และมีมาตรการในการคุ้มครองบุคคลที่รายงานหรือเสนอข้อคิดเห็นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
- การเยียวยา เมื่อการดำเนินงานของบริษัท ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยจัดให้มี
- การพัฒนา แก้ไข รวมทั้งนำมารายงานคณะกรรมการบริหาร เพื่อพิจารณาการช่วยเหลือและให้การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม





ปี 2567 จากการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนแบบรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) แล้ว พบว่า บริษัทไม่มีความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทจะไม่มีความเสี่ยงจากสิทธิมนุษยชน บริษัทได้กำหนดนโยบายกลไกกระบวนการเยียวยาหรือชดเชยสำหรับผลกระทบที่บริษัทก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยหากเกิดความเสี่ยง หรือ ผลกระทบขึ้น จะมีการติดตามผลกระทบนั้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง มีการสื่อสารต่อสาธารณะ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผู้ได้รับผลกระทบจะได้รับการดูแล และเยียวยาอย่างใส่ใจ (Remediation) โดยมีแนวทางการดำเนินการเยียวยา ดังนี้
- ผู้บริหารโรงพยาบาลจะให้การช่วยเหลือเบื้องต้น
- ฝ่ายบริหารความเสี่ยง จะสืบสวนข้อเท็จจริงในผู้ที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการจริยธรรม(โรงพยาบาลพระรามเก้า) ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารสูงสุดในทุกฝ่าย และนักกฎหมายของโรงพยาบาล เพื่อพิจารณาการช่วยเหลือ และสรุปผลการเยียวยาอย่างเหมาะสม
- นำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาและอนุมัติการดำเนินการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องสิทธิมนุษยชน
การติดตามและการรายงานผลการดำเนินงาน
บริษัทดำเนินการตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน และมีการสื่อสารให้ความรู้และ อบรมพนักงานครอบคลุมในเรื่องสิทธิมนุษยชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาที่มีความเสี่ยงต่อ ผลกระทบเชิงลบที่ผ่านกิจกรรมของบริษัทและความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ โดยผลการดำเนินงานในปี 2567 ดังนี้
- บริษัทได้รับการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน ร้อยละ 100
- บริษัทมีมาตรการลดผลกระทบและกระบวนการแก้ไขเยียวยาความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนสูง ร้อยละ 100

การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน

บริษัท ส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าอยู่เสมอ ส่งผลให้ในปี 2567 ไม่พบประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดำเนินงานของบริษัท และผลจากการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน อย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ความเสี่ยงเป็นศูนย์ สำหรับ อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานจะอยู่ที่ 0.32 จำนวน 5 ครั้ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และไม่รุนแรง ทั้งนี้ ทางบริษัทยังคงมุ่งมั่นตรวจสอบสาเหตุและดำเนินการจัดทำนโยบายในการป้องกันอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ให้ได้ในอนาคต
การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน
อย่างรอบด้าน (HRDD)

การจัดการด้านความรับผิดชอบต่อทรัพยากรบุคลากร
บริษัทให้ความสำคัญต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลและการดูแลพนักงานให้เกิดความผูกพันกับองค์กรเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีความปลอดภัยเท่าเทียม ปราศจากการเลือกปฏิบัติ ยอมรับความหลากหลาย โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือภูมิหลังทางชาติพันธุ์ควบคู่กับการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพ ติดตามประสิทธิผลจากตัวชี้วัดอัตราความพึงพอใจของพนักงาน เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารพร้อมทั้งใช้ระบบวิเคราะห์เกี่ยวกับพนักงานในด้านต่าง ๆ ในการวางแผนด้านความรับผิดชอบต่อบุคลากร วิเคราะห์ทักษะที่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับกฎหมายแรงงานและมาตรฐานแรงงานสากลในการสนับสนุนกระบวนการสรรหาและมีการจ้างงานการเลื่อนตำแหน่งที่เป็นธรรมและโปร่งใส นำไปสู่การพัฒนาความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร การดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ทั้งนี้ องค์กรจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการคุ้มครอบแรงงาน และคณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัยเพื่อให้การดูแลพนักงานสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ยกระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานโดยการให้โอกาสในการเติบโตและพัฒนาผ่านโปรแกรมต่าง ๆ ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและสามารถเห็นความสำคัญของการร่วมงานกับองค์กร

ในปี 2567 องค์กรได้สนับสนุนการพัฒนาด้าน AI โดยการฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การใช้ประโยชน์จาก AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานมีทักษะที่ทันสมัย แต่ยังส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในองค์กรเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ดีต่อลูกค้าและสร้างคุณค่าใหม่ผ่านการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมในการพัฒนากระบวนการให้บริการที่มีความปลอดภัย รวดเร็วและสะดวก รวมทั้ง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานให้เป็นไปตามวัฒนธรรมองค์ ด้วยการยกระดับ Reskill และ Upskill ทั้งในด้าน Soft Skill และ Hard Skill เพื่อพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจ หรือ พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ ได้แก่
การสร้างภาวะความเป็นผู้นำ และวางแผนเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ชัดเจน (Career Path)
เป้าหมาย : ชั่วโมงการฝึกอบรมเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมงต่อคนต่อปี
การส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
เป้าหมาย : อัตราการเกิดอุบัติเหตุและอัตราการเจ็บป่วยจากการทำงานเป็นศูนย์
การสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี สร้างความผูกพัน สร้างแรงจูงใจและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ
เป้าหมาย : ความรับผิดชอบต่อทรัพยากรบุคลากร ประกอบด้วย
- อัตราความผูกพันของพนักงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
- อัตราการลาออกกลุ่มพนักงานโดยรวมลดลงน้อยกว่าร้อยละ 9%
- อัตราการลาออกในกลุ่มสรรมถนะสูง (High Performance) น้อยกว่าร้อยละ 4
ซึ่งผลลัพธ์จากการพัฒนาศักยภาพและการดูแลความผูกพันของพนักงานจะส่งผลให้พนักงานบางกลุ่มงานได้รับการปรับระดับตำแหน่งผ่านการประเมินงานหลังฝึกอบรมรวมถึงการที่องค์กรสามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้มากขึ้นทำให้เกิดการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพจากการอบรมพัฒนาให้บริษัทต่อไป โดยมีผลการเนินการผ่านโครงการต่าง ๆ
ผลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อทรัพยากรบุคลากร

บริษัทส่งเสริมการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ต่อการพัฒนาทักษะของบุคลากร และมุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี สร้างความผูกพัน สร้างแรงจูงใจและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ ส่งผลให้ในปี 2567 ผลการประเมินมี ดังนี้
- ชั่วโมงการฝึกอบรมในการพัฒนารวม 73,676 ชั่วโมง คิดเป็นชั่วโมงอบรมเฉลี่ย 47.81 ชั่วโมงต่อคน ลดลงจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 10
- อัตราความผูกพันของพนักงาน ร้อยละ 80.93 ลดลงขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 0.20 (81.1 ปี 2566)
- อัตราการลาออกของพนักงาน ร้อยละ 6.41 ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 33.22
- อัตราการลาออกจากงานโดยสมัครใจของพนักงานสมรรถนะสูง (High Performance) ร้อยละ 3.92 ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 6.6
การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อทรัพยากร บุคลากร


ด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย
โรงพยาบาลพระรามเก้ามุ่งเน้นความปลอดภัยและคุณภาพของการรักษา ด้วยมาตรฐานการรักษาระดับสากล แนวทางการปฏิบัติมุ่งเน้นเพื่อการปรับปรุงความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety) เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญ ซึ่งรวมถึงแนวทางปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ด้านคุณภาพการให้บริการในโรงพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ สามารถช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ป่วยและสร้างความเชื่อมั่นในบริการที่ได้รับ คุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของผู้ป่วยที่สำคัญมีดังนี้:
1. ความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์ (Clinical Competence)
- การดูแลที่มีคุณภาพสูงจากแพทย์ พยาบาล และทีมงานทางการแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วย
- การตรวจสอบและใช้วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
2. การเข้าถึงบริการที่สะดวก (Accessibility)
- การให้บริการที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเวลาในการนัดหมาย, การรักษาฉุกเฉิน, หรือการมีบริการที่หลากหลาย
- การปรับปรุงกระบวนการที่สามารถทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและไม่ต้องรอนาน
3. การให้บริการที่มีความใส่ใจ (Patient-Centered Care)
- การบริการที่เน้นการให้ความสำคัญกับผู้ป่วยและความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น การเข้าใจในปัญหาทางสุขภาพของผู้ป่วยและการให้คำปรึกษาที่เหมาะสม
- การให้บริการด้วยความเมตตาและท่าทีที่เอื้ออาทร รวมถึงการให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษา
4. การสื่อสารที่ชัดเจนและโปร่งใส (Effective Communication)
- การสื่อสารข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการรักษา การวินิจฉัย และผลการตรวจอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
- การให้ข้อมูลที่ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเข้าใจได้ง่ายและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
5. การรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย (Safety Standards)
- การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดต่างๆ ในการรักษา เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของยาและการทำหัตถการ
- การใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมการรักษาและลดความเสี่ยง เช่น ระบบติดตามอุปกรณ์ทางการแพทย์และการใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการสั่งยาหรือบันทึกข้อมูลผู้ป่วย
6. การบริหารจัดการทรัพยากร (Resource Management)
- การใช้ทรัพยากรที่มีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการเตียงผู้ป่วย การบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์ และบุคลากร
- การวางแผนและเตรียมความพร้อมในการให้บริการเพื่อรองรับความต้องการของผู้ป่วย
7. การติดตามและประเมินผล (Continuous Monitoring and Improvement)
- การติดตามคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การประเมินจากทั้งภายในและภายนอก เช่น การรับรองจากองค์กรที่มีมาตรฐานสากล
- การปรับปรุงคุณภาพโดยการใช้ผลการประเมินเพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
8. ความพึงพอใจของผู้ป่วย (Patient Satisfaction)
- การตรวจสอบและวัดระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับบริการที่ได้รับ รวมถึงการรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ป่วย
- การดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือข้อบกพร่องจากข้อเสนอแนะเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประสบการณ์การบริการที่ดีขึ้น
9. การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology and Innovation)
- การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการดูแลผู้ป่วย เช่น ระบบบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) หรือการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ
- การพัฒนาและนำเทคโนโลยีในการรักษา เช่น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ การรักษาด้วยวิธีที่มีความแม่นยำสูง
- การพัฒนาคุณภาพการให้บริการในโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีการผสมผสานทั้งในเรื่องของการบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ, ความพึงพอใจของผู้ป่วย, และการปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสากลเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน
การตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ
บริษัทให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของผู้บริโภค ความพึงพอใจเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการบริการ ได้มีการสำรวจ การติดตามและสอบถามความต้องการของผู้มารับบริการอยู่ตลอด ทั้งผู้มาใช้บริการแล้ว และผู้ที่สอบถามผ่านทางช่องทาง Online ต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุง การให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
บริษัทมีเป้าหมายการจัดการด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ อัตราความพึงพอใจของผู้รับบริการ (Patient Experience) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 โดยทั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมาย
1. อัตราความพึงพอใจประสบการณ์การรับบริการผู้ป่วยนอก (OPD) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 จากผลการสำรวจในรอบปี 2566 พบว่าอัตราความพึงพอใจประสบการณ์การรับบริการผู้ป่วยนอก (OPD) = 92.12 % โดยจากผลการสำรวจได้ดำเนินการจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการดังนี้
- จัดทำ Application Notification เพื่อ Alert เตือนให้เจ้าหน้าที่ OPD ทราบว่าแพทย์ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องส่งชื่อผู้รับบริการไปยังห้องยา-การเงิน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้รับบริการรอนาน
- จัดทำ Application ระบบการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล มีการสื่อสารให้ผู้รับบริการทราบข้อมูล และได้รับความสะดวก รวดเร็ว ชัดเจน
- จัดทำ QR Code คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้รับบริการไว้ในห้องตรวจแพทย์ทุกห้อง โดย 9 Code ในแต่ละแผนกจะเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวที่เกี่ยวข้องกับแผนกนั้น ๆ เพื่อผู้รับบริการเข้าถึงข้อมูลการดูแลตัวเองได้โดยง่าย
- ผู้รับบริการ จะต้องใช้ทางเดินเชื่อมระหว่าง 2 อาคาร อาจมีความสับสนได้ จึงได้เพิ่มปริมาณป้ายบอกทาง แสดงจุดต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และ มีรถไฟฟ้าบริการรับส่งระหว่าง 2 อาคาร
- ผู้รับบริการที่เป็นชาวต่างชาติที่มารับบริการ ทางโรงพยาบาลได้จัดเจ้าหน้าที่ล่ามดูแลอย่างเพียงพอ เพื่อลดข้อจำกัดด้านภาษาซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยและประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้บริการ การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการรักษา, ความยากลำบากในการให้ข้อมูลทางการแพทย์, หรือแม้กระทั่งการขาดความเชื่อมั่นระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
- จัดตั้งคณะทำงาน Service Transform Committee เพื่อร่วมปรับปรุง พัฒนาพฤติกรรมการให้บริการ ของเจ้าหน้าที่ และวางแผนแนวทางการดำเนินการให้บริการ คณะทำงานมีความมุ่งมั่นในทุกๆข้อเสนอแนะนำมาวางแผนปรับปรุงการให้บริการอย่างเป็นระบบต่อไป
- ดำเนินการจัดหาร้านค้า ร้านอาหาร ให้เหมาะสมตามความต้องการของผู้รับบริการ
2. อัตราความพึงพอใจประสบการณ์การรับบริการผู้ป่วยใน (IPD)ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 จากผลการสำรวจในรอบปี 2566 พบว่าอัตราความพึงพอใจประสบการณ์การรับบริการผู้ป่วยใน (IPD) = 97.08 % โดยจากผลการสำรวจได้ดำเนินการจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการดังนี้
- เปิดศูนย์การเรียนรู้ ชั้น 8 สำหรับวิชาชีพ แบบครบวงจร โดยเน้นจัดอบรมให้แก่พยาบาลเข้าใหม่ทุกราย และทำการ E-training ในเรื่องการเปิดเส้นสำหรับให้ยาและให้สารน้ำ โดยมีหุ่นที่ใช้สำหรับการฝึกที่ทันสมัย รวมไปถึงการฝึกฝนกระบวนการให้การพยาบาลต่าง ๆ โดยทำการฝึกกับหุ่นที่มีความทันสมัย สามารถจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เสมือนจริง
- ผู้รับบริการที่เป็นชาวต่างชาติ ได้จัดเจ้าหน้าที่ล่ามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อลดข้อจำกัดด้านภาษาซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยและประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้บริการ การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการรักษา, ความยากลำบากในการให้ข้อมูลทางการแพทย์, หรือแม้กระทั่งการขาดความเชื่อมั่นระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
- สำหรับผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน และต้องมีการควบคุมส่วนผสมอาหารต่าง ๆ ให้เหมาะสมตามภายใต้การดูแลของนักกำหนดอาหาร มักจะพบปัญหาในเรื่องความเบื่ออาหาร จึงได้มีการดำเนินการจัดเมนูอาหาร ในรอบ 1 เดือน ไม่ซ้ำกันเพิ่มความหลากหลายของเมนูให้มากขึ้น
- ดำเนินการปรับปรุง แก้ไข ระบบ Smart TV สัญญาณ WIFI ให้มีความเร็วและเพียงพอต่อการใช้งาน
การดำเนินการ
สำหรับการสำรวจประสบการณ์การรับบริการ (Patient experience) และ การสำรวจความพึงพอใจแบบรายบุคคลโดยมีเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์เข้าไปสอบถามการบริการโดยตรงกับผู้รับบริการ กรณีที่คำชม หรือ ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ Program Risk Management และออกใบงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขและป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ รวมถึง เพื่อดำเนินการการตอบสนองต่อความต้องการของผู้รับบริการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
การปรับปรุงสถานที่เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้รับบริการ :
- OPD ชั้น 2 อาคาร A บริเวณห้องฉุกเฉิน แผนกอายุรกรรม ศัลยกรรมกระดูกและข้อเพื่อรองรับผู้ป่วยนอกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
- IPD ชั้น 10 อาคาร A เพื่อปรับทัศนียภาพในการรองรับผู้ป่วยใน
- ชั้น 8 อาคาร A เป็นศูนย์การเรียนรู้ โรงพยาบาลพระรามเก้า เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการกับบุคลากรภายในบริษัท
ผลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ

นอกจากการประเมินความพึงพอใจในภาพรวมแล้ว บริษัทยังมีการประเมินอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าเดิม ซึ่งหากผู้รับบริการมีทัศนคติที่ดีต่อบริการของบริษัท จะเกิดความเชื่อมั่นทำให้กลับมาใช้บริการซ้ำ รวมทั้ง การประเมินการกลับมาใช้บริการของลูกค้าเดิมไม่เพียงแต่ช่วยวัดความพึงพอใจของลูกค้า แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบริการที่ได้รับและทัศนคติที่ดีต่อบริษัท หากบริษัทสามารถรักษาความพึงพอใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ มีแนวโน้มที่ดีในการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า รวมถึงแนะนำให้ผู้อื่นมาใช้บริการให้ต่อ
- คะแนนแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการมีคะแนนการรับบริการผู้ป่วยนอก ร้อยละ 98.25
- คะแนนแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการมีคะแนนการรับบริการผู้ป่วยใน ร้อยละ 98.05
การจัดการข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการ
การจัดการข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการเป็นส่วนสำคัญของการบริการลูกค้าที่ดี เพื่อให้มีความพึงพอใจและความสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า บริษัทมีขั้นตอนการจัดการข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้: การจัดการข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการเป็นส่วนสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการบริการ การรับฟังและจัดการกับข้อร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้า แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสร้างความพึงพอใจในบริการ การจัดการข้อร้องเรียนที่ดีสามารถแปลงปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสในการพัฒนาและปรับปรุงบริการได้ เพื่อให้มีความพึงพอใจและความสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า บริษัทมีขั้นตอนการจัดการข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้:
- รับข้อร้องเรียน: รับข้อร้องเรียนจากลูกค้าในทุกช่องทางที่เปิดให้บริการ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบช่องทางการรายงาน อาทิ ทางโทรศัพท์ QR Code อีเมล ไลน์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสื่อสารได้อย่างสะดวก

- ฟังและรับฟัง: เมื่อผู้ใช้บริการมีข้อร้องเรียน ควรให้ความสำคัญกับการฟังข้อร้องเรียนของพวกเขาอย่างตั้งใจและใส่ใจ เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าเสียงของพวกเขาถูกให้ความสำคัญ
- การวิเคราะห์และตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ว่าเกิดจากการบริการส่วนใด เช่น ความล่าช้าในการบริการ, คุณภาพของการรักษา, หรือความไม่สะดวกในขั้นตอนต่างๆ
- การตอบสนองและแก้ไขปัญหาภายในเวลาอันรวดเร็ว การสื่อสารที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา เมื่อได้รับข้อร้องเรียน เจ้าหน้าที่ตอบกลับผู้ใช้บริการโดยเร็วที่สุด แม้จะยังไม่มีการแก้ไขปัญหาทั้งหมด การตอบกลับเพื่อแสดงความสนใจและรับทราบข้อร้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญ
- การติดตามและการสรุป: มีการติดตามสถานการณ์จัดการข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการแต่ละเคส รวมทั้งมีการจัดทำสรุปผลการจัดการข้อร้องเรียน
- การเรียนรู้และการปรับปรุง: นำข้อมูลจากข้อร้องเรียนมาใช้เพื่อการปรับปรุงบริการในอนาคต โดยการพัฒนากระบวนการทำงานหรือการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกในอนาคต
- การให้คำอธิบายเหตุผลที่เกิดปัญหาอย่างตรงไปตรงมา และแสดงความขอโทษต่อผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ผู้รับบริการทราบว่าบริษัทตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะแก้ไข
- การดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่ได้สัญญากับผู้ใช้บริการไว้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในบริการ, การให้บริการเพิ่มเติม หรือการให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
- การติดตามผลหลังการแก้ไขปัญหา หลังจากดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว มีการติดตามผลเพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วและผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจ
- บันทึกข้อมูล: บันทึกข้อมูลข้อร้องเรียนทั้งหมดที่ได้รับอย่างละเอียด รวมถึงข้อมูลผู้ร้องเรียน รายละเอียดของปัญหา และวันเวลาที่เกิดปัญหา
- วิเคราะห์และการสำรวจ: ทำการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนดำเนินการจัดการแก้ปัญหาในขั้นตอนถัดไป
- การนำข้อร้องเรียนมาเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงคุณภาพการบริการ ข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาระบบหรือกระบวนการบริการในอนาคต เช่น การปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ, การฝึกอบรมบุคลากร, หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- การสร้างวัฒนธรรมและ การส่งเสริมให้บุคลากรมีวัฒนธรรมการรับฟังและตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการข้อร้องเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการบริการ
การจัดการข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการ ไม่เพียงแค่เป็นกระบวนการในการแก้ไขปัญหา แต่เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจในการดูแลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ หากดำเนินการอย่างถูกต้องและใส่ใจ จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า, ปรับปรุงบริการ, และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวกับผู้ใช้บริการ
ผลลัพธ์ การร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกค้า = 0 ราย
การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ
- รักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบดิจิทัลทางการแพทย์ (Security) ตามมาตรฐานของ ETDA
- พัฒนาการเก็บข้อมูลขององค์กรบน Cloud
- การรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัยและจรรยาบรรณที่ดี
- ความพึงพอใจและการได้รับการให้บริการที่ดี
- การได้รับข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกต้องชัดเจน รวดเร็ว สะดวก
- ค่าบริการการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม
- Data Privacy & Security ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยและข้อมูลการรักษา
การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ (Responsibility to Service) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ และช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจ ทั้งนี้ยังส่งผลโดยตรงต่อการรักษามาตรฐานการบริการ และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการในระยะยาว
1. การรักษาคุณภาพบริการ
- การรักษามาตรฐานคุณภาพ: การปฏิบัติตามมาตรฐานการบริการที่กำหนด เช่น มาตรฐาน JCI (Joint Commission International) สำหรับโรงพยาบาล ให้การบริการมีความต่อเนื่องและสามารถคาดการณ์ได้
- การตรวจสอบและประเมินผล: การทำการประเมินภายในองค์กรหรือภายนอก เช่น การตรวจสอบคุณภาพบริการอย่างสม่ำเสมอ หรือการดำเนินการตามโปรแกรมการตรวจสอบคุณภาพจะช่วยให้การบริการมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ
2. การรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
- การป้องกันอุบัติเหตุและอันตราย: การดำเนินการเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการให้บริการ เช่น การติดตามผลการรักษา, การตรวจสอบยาที่ใช้, และการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
- การฝึกอบรมด้านความปลอดภัย: การฝึกอบรมบุคลากรในด้านการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย และการป้องกันอุบัติเหตุให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการทำงาน
3. การให้ข้อมูลที่โปร่งใสและถูกต้อง
- การให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย: การให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริการ, ราคาค่ารักษา, หรือขั้นตอนการดำเนินการต้องมีความโปร่งใสและเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา หรือรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
- การตอบคำถามและข้อสงสัย: ผู้ใช้บริการควรได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง รวมทั้งการให้คำแนะนำหรือคำตอบที่ชัดเจนในกรณีที่มีข้อสงสัย
4. การให้บริการอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
- การบริการที่เป็นธรรม: การให้บริการควรไม่เลือกปฏิบัติหรือแยกแยะผู้ใช้บริการตามพื้นฐานทางเชื้อชาติ, ศาสนา, หรือสถานะทางเศรษฐกิจ
- การให้บริการที่เท่าเทียม: การดูแลทุกคนในลักษณะที่เท่าเทียม โดยไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติในด้านใดด้านหนึ่ง เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการทุกคน
5. การปฏิบัติตามหลักจริยธรรม
- ความลับและการรักษาความเป็นส่วนตัว: การเคารพสิทธิในการรักษาความลับของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการ เช่น ข้อมูลการรักษาหรือข้อมูลส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาคการแพทย์หรือการให้บริการสุขภาพ
- การรักษามาตรฐานจริยธรรมในการให้บริการ: บุคลากรทุกคนในองค์กรควรปฏิบัติตามหลักจริยธรรมในการให้บริการ โดยมีความซื่อสัตย์, โปร่งใส, และมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า
6. การรับฟังและตอบสนองต่อข้อร้องเรียน
- การรับข้อร้องเรียนอย่างจริงจัง: องค์กรต้องมีช่องทางที่ชัดเจนในการรับข้อร้องเรียนจากผู้ใช้บริการ และตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
- การประเมินและปรับปรุง: การนำข้อร้องเรียนมาพิจารณาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงกระบวนการทำงาน หรือการเพิ่มการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น
7. การพัฒนาบุคลากร
- การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ: การพัฒนาทักษะของบุคลากรทั้งในด้านการบริการลูกค้าและความเชี่ยวชาญในด้านวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น การฝึกอบรมทักษะการสื่อสารและการให้บริการที่เป็นมิตรและเข้าใจง่าย
- การเสริมสร้างความเข้าใจในความรับผิดชอบ: การให้ความรู้แก่บุคลากรเกี่ยวกับความสำคัญของการมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า และวิธีการให้บริการที่ดีที่สุด
8. การดูแลและเสริมสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการ
- การให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า: การทำความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างลึกซึ้ง เช่น การปรับปรุงบริการตามข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำจากผู้ใช้บริการ
- การดูแลหลังการให้บริการ: การติดตามผลการบริการ เช่น การโทรติดตามผู้รับบริการหลังการรักษาหรือการบริการเพื่อตรวจสอบความพึงพอใจและผลลัพธ์
การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการว่าองค์กร ให้ความสำคัญและเอาใจใส่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้บริการที่มีคุณภาพ การรักษาความปลอดภัย การให้ข้อมูลที่โปร่งใส และการตอบสนองต่อข้อร้องเรียน การมีความรับผิดชอบและความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และสร้างความไว้วางใจระยะยาวระหว่างผู้ใช้บริการและองค์กร
ช่องทางการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย
- การสื่อสารและให้คำปรึกษาในรูปแบบออฟไลน์และสื่อออนไลน์ (Website Facebook LINE Twitter) และหมายเลขติดต่อ Call Center 1270
- แบบสำรวจความพึงพอใจในการใช้บริการผ่านแบบสอบถามและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
กลยุทธ์การตอบสนองกันผู้มีส่วนได้เสีย

การประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment)
บริษัท ได้มีการประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact assessment) จากผู้มีส่วนได้เสียสำคัญ นำข้อกังวล/ ผลกระทบเชิงลบในปัจจุบัน และอนาคต พิจารณาเลือกการวัดผลลัพธ์ ทางสังคม การประเมินผลตอบแทนทางสังคม จากการลงทุน (Social Return on Investment) มาจัดทำแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน แผนการดำเนินการ และ ตัวชี้วัดเพื่อลดกระทบเชิงลบ จากการดำเนินการของบริษัท เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม ปี 2567 บริษัทได้ทำ โครงการสร้างสรรค์คุณค่าร่วมทางธุรกิจ (Creating Shared Value: CSV) จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่
1. HAPPY KIDNEY: ไตดีมีสุข (กิจกรรม "ไตใหม่ ชีวิตใหม่")
โรงพยาบาลพระรามเก้าเป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและยั่งยืน และเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดปลูกถ่ายไตมากที่สุดในประเทศไทย โดยสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไตของโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตไปแล้วกว่า 1,367 ราย ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคไต โรงพยาบาลได้พัฒนาโครงการ "ไตใหม่ ชีวิตใหม่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Creating Shared Value (CSV) โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมผ่านการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไต ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคไต การเปลี่ยนไต การดูแลผู้ป่วยโรคไต ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนไต รวมถึง แนวทางการรักษาที่เหมาะสม กับ ทีมบุคลากรทางการแพทย์ และ ประชาชนทั่วไป โดยร่วมมือกับมูลนิธิก้าวทันโรค และ พันธมิตรโรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ พร้อมทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไต
วัตถุประสงค์ของโครงการ (Objectives)
วัตถุประสงค์เชิงธุรกิจ:
- เพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่สามารถเข้าถึงการรักษาโรคไตอย่างมีคุณภาพ
- เสริมสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลในฐานะผู้นำด้านการรักษาโรคไต
- เพิ่มรายได้จากการให้บริการรักษาโรคไตแบบครบวงจร
วัตถุประสงค์เชิงสังคม:
- ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไตและแนวทางป้องกันแก่ประชาชน
- ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยไตเรื้อรัง
- สนับสนุนการเข้าถึงการรักษาที่มีมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยไตทุกกลุ่ม
กลยุทธ์และแนวทางดำเนินโครงการ (Strategies and Implementation Plan)
- การพัฒนาบริการทางการแพทย์ที่เข้าถึงง่าย - ขยายโครงการตรวจคัดกรองโรคไตในชุมชน
- การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ - ทำงานร่วมกับเครือข่าย รพ.พันธมิตรเพื่อให้การสนับสนุนองค์ความรู้

ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Key Performance Indicators - KPIs)
ตัวชี้วัดทางธุรกิจ:
- จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา
- รายได้จากการให้บริการรักษาโรคไต
ตัวชี้วัดทางสังคม:
- จำนวนผู้ที่ได้รับการให้ความรู้เรื่องโรคไต
- ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ
การดำเนินงาน
ปี 2567 โครงการฯ ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้เรื่องไต แก่บุคลากรทางการแพทย์ การจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคไตและประชาชนทั่วไป การลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วย และการขยายเครือข่ายความร่วมมือ รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง ดังนี้
- โครงการสัมมนา โรคไต และการเปลี่ยนไตแก่กลุ่มพยาบาลวิชาชีพ ในเขตจังหวัดตรัง วันที่ 23 ก.พ. 67
- โครงการสัมมนา ไตใหม่ ชีวิตใหม่ ร่วมกับ รพ.ธนบุรี ทุ่งสง ให้ความรู้กับประชาชน วันที่ 3 มี.ค. 67
- กิจกรรมวันไตโลก ให้ความรู้แก่ประชาชนที่ รพ.พระรามเก้า วันที่ 13 มี.ค. 67
- ศึกษาดูงานหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต มหาวิทยาลัยรังสิต วันที่ 30 เม.ย. 67
- ศึกษาดูงาน จาก โรงพยาบาลสิริเวช จันทบุรี วันที่ 20 มิ.ย. 67
- สัมมนาให้ความรู้ แก่กลุ่มพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยโรคไต โรงพยาบาลอุบลรักษ์ ธนบุรี วันที่ 19 ก.ย. 67
- ศึกษาดูงานหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต มหาวิทยาลัยรังสิต วันที่ 25 ต.ค. 67
- สัมมนา การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแบบองค์รวม สำนักงานสาธารณสุข จ.สุมทรปราการ วันที่ 13 ธ.ค. 67
การประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment - SIA)
ผู้มีส่วนได้เสียสำคัญ (Key Stakeholders)
- ผู้ป่วยโรคไตและครอบครัว - ได้รับโอกาสในการรักษา ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไต การดูแลตนเอง และแนวทางการรักษา รวมถึง การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวก
- บุคลากรทางการแพทย์ - มีโอกาสพัฒนาความเชี่ยวชาญ และ ประสิทธิภาพการให้บริการ , มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไต การดูแลรักษา และการเปลี่ยนไต , เพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคไต
- โรงพยาบาลพันธมิตรและภาครัฐ - ช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขและเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน
- โรงพยาบาลพระรามเก้า: เป็นศูนย์กลางการรักษาโรคไตและการเปลี่ยนไต สร้างความร่วมมือกับเครือข่าย เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการทางการแพทย์ ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม สร้างภาพลักษณ์องค์กร และ สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร
ผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้น
ผลกระทบเชิงบวก:
- ผู้ป่วยได้รับความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคไต เพื่อตัดสินใจรักษา
- ส่งเสริมการป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
- ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังการรักษา
- ลดภาระการดูแลระยะยาวของครอบครัว
ผลกระทบเชิงลบ:
- ภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา
- ความกังวลในการตัดสินใจ
- ข้อจำกัดด้านบุคลากรและทรัพยากรของโรงพยาบาล
- ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการรักษาอาจทำให้เกิดภาระต่อระบบสาธารณสุข
- การบริหารจัดการทรัพยากร เช่น งบประมาณและบุคลากร ต้องได้รับการวางแผนที่เหมาะสม
การวัดผลลัพธ์ทางสังคมและการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment - SROI)
การคำนวณ SROI จะพิจารณาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการรักษาและการเปลี่ยนไต รวมถึงผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้น
- Total Value of Outcomes
= รายได้จากผ่าตัดเปลี่ยนไต + รายได้จากการรักษาโรคอื่น ๆ + รายได้จากการรักษาต่อเนื่อง - Total Cost of Investment = งบประมาณทั้งหมดที่ใช้ในโครงการ
( งบประมาณที่ตั้งไว้ 430,100 บาท / งบประมาณที่ใช้จริง: 341,093.68 บาท )
การวัดผลลัพธ์ทางสังคม
ผลลัพธ์เชิงปริมาณ:
- จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 308 คน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 420 คน (คิดเป็นร้อยละ 73.33)
ผลลัพธ์เชิงรายได้: ( ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ )
- จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษารวม 21 ราย
- จำนวนผู้ป่วยที่ตัดสินใจเปลี่ยนไต 3 ราย
- จำนวนป่วยเข้ามารักษาโรคอื่นๆ 9 ราย
- จำนวนผู้ป่วยเข้ามารักษาต่อเนื่อง 9 ราย
- รวมรายได้จากผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา 12,700,000 บาท
ผลลัพธ์เชิงคุณภาพ:
- ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพไต
การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน SROI = (ผลประโยชน์ทางสังคม / ต้นทุนโครงการ) จากการคำนวณ SROI ของโครงการ สรุปผลได้ดังนี้:
- อัตราผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) = 37.23 บาท (12,700,000 / 341,093.68 ≈ 37.23 )
- หมายความว่า ทุก 1 บาทที่ลงทุนในโครงการ สามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมได้ 37.23 บาท
- แสดงให้เห็นว่าโครงการมีความคุ้มค่าในการลงทุนสูงมาก
หมายเหตุ ทั้งนี้ ยังไม่รวมูลค่าผลตอบแทนทางสังคม (ประมาณการ) ได้แก่ มูลค่าคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น /การประหยัดค่ารักษาระยะยาว /การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- ประสิทธิภาพการดำเนินงาน:
- ใช้งบประมาณต่ำกว่าที่ตั้งไว้ (79.32% ของงบประมาณที่ตั้งไว้)
- มีผู้เข้าร่วม 73.33% ของเป้าหมาย (จำนวน 308 คน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 420 คน)
- ผลลัพธ์ทางการเงิน:
- รายได้รวม 12,700,000 บาท
- เฉลี่ยรายได้ต่อผู้ป่วย = 604,761.90 บาท/ราย
การประเมินผล และ การปรับปรุงโครงการ (Monitoring and Evaluation)
- การติดตามผลลัพธ์เชิงปริมาณ เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม, จำนวนผู้ที่ได้รับการรักษา
- การวิเคราะห์ผลกระทบ โดยใช้ข้อมูลจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
- แผนพัฒนาโครงการในอนาคต เช่น จัดกิจกรรม CSV เรื่องโรคไต อย่างต่อเนื่อง
1. การให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพไต: จัดสัมมนาและเวิร์กช็อปโครงการ "สุขภาพไตดีถ้วนหน้า": ให้ความรู้แก่ประชาชนบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพไตและการป้องกันโรคไต
2. การสนับสนุนชุมชน: จัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคไต เช่น คลินิกเคลื่อนที่เพื่อบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและให้คำปรึกษาสุขภาพไตโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
3. การพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตร : ขยายเครือข่ายความร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนองค์ความรู้และแนวทางการักษาการดูแลสุขภาพไต
4. การสร้างเครือข่ายผู้ป่วย: จัดตั้งกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
โครงการ HAPPY KIDNEY: ไตดีมีสุข (กิจกรรม "ไตใหม่ ชีวิตใหม่") เป็นการนำแนวคิด CSV มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างคุณค่าร่วมระหว่างธุรกิจและสังคม ในด้านต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และการสร้างความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน โรงพยาบาลพระรามเก้า สามารถสร้าง ความแตกต่างผ่านการให้บริการรักษาโรคไตที่มีมาตรฐานสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน ทำให้เพิ่มโอกาสในการรักษาโรคไต โครงการจะสามารถเติบโตไปพร้อมกับความสำเร็จในอนาคตด้วยค่า SROI ที่สูง แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุนและประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคตควรขยายผลโครงการสู่ระดับประเทศเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน

2. HAPPY MONK: สงฆ์มีสุข
โครงการ "HAPPY MONK: สงฆ์มีสุข" เป็นโครงการสร้างสรรค์คุณค่าร่วมทางธุรกิจ (Creating Shared Value: CSV) ของโรงพยาบาลพระรามเก้า ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพของพระสงฆ์ในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือ non-communicable diseases เป็นกลุ่มโรคที่ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม
จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพพระสงฆ์ พบว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่อาพาธด้วยกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อโรค พบว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) 4 โรค ที่คุกคามสุขภาพพระสงฆ์และสามเณร ซึ่งพบว่าป่วยมากที่สุด คือ เบาหวาน ,ความดันโลหิตสูง ,ไขมันในเลือดสูง และหัวใจขาดเลือด ซึ่งสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง โดยมักจะบริโภคอาหารรสจัดประเภทหวาน มัน เค็ม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถเลือกฉันได้ รับแต่อาหารที่ได้รับจากการบิณฑบาต และข้อจำกัดทางด้านการออกกำลังกาย
โรงพยาบาลพระรามเก้า จึงได้จัดกิจกรรมโครงการ "HAPPY MONK: สงฆ์มีสุข" เพื่อไปตรวจสุขภาพพระสงฆ์ที่อยู่ในชุมชนวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก โดยให้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักโภชนาการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมการตรวจสุขภาพให้พระสงฆ์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และให้ความรู้ทางโภชนาการเพื่อให้พระสงฆ์บริโภคอาหารได้อย่างถูกต้อง
วัตถุประสงค์ของโครงการ HAPPY MONK: สงฆ์มีสุข
- เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ โดยการตรวจสุขภาพพระสงฆ์ในชุมชนวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก
- เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัท วัด พระสงฆ์ และ ชุมชน
- เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ผ่านการให้ความรู้คำแนะนำด้านโภชนาการและการป้องกันโรค NCDs (Non-Communicable Diseases)
- เพื่อดูแลสุขภาพในเบื้องต้นด้วยการมอบยาสามัญประจำบ้านให้กับวัด
การดำเนินงาน
1. การตรวจสุขภาพพระสงฆ์
- ตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น การวัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด เป็นต้น
2. การให้ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการและการป้องกันโรค NCDs
- ให้คำแนะนำความรู้ด้านโภชนาการ เรื่องอาหารที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ เช่น การลดหวาน มัน เค็ม
- แนะนำการปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ได้จากการบิณฑบาต
3. การถวายอาหารเพลและยาสามัญประจำบ้าน
- คณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ร่วมถวายอาหารเพลแก่พระสงฆ์
- ถวายยาสามัญประจำบ้านให้พระสงฆ์
4. กิจกรรมเสริมความสัมพันธ์ชุมชน
- นิมนต์คณะสงฆ์มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลพระราม 9 ในวันขึ้นปีใหม่
งบประมาณ
- งบประมาณที่ตั้งไว้: 50,000 บาท
- งบประมาณที่ใช้จริง: 16,514.70 บาท
การประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment)
ผู้มีส่วนได้เสียสำคัญ (Key Stakeholders)
กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์
- พระสงฆ์: ได้รับการตรวจสุขภาพและคำแนะนำด้านโภชนาการ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs
- โยมอุปัฏฐากและญาติ: มีความเชื่อมั่นในโรงพยาบาลพระราม 9 และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท
- ชุมชน: ชุมชนมีความรู้สึกเชื่อมั่นและยอมรับในบทบาทของบริษัทในการดูแลสังคม
ผลกระทบเชิงบวก
- ด้านสุขภาพ: พระสงฆ์ได้รับการตรวจสุขภาพและคำแนะนำด้านโภชนาการที่ถูกต้องช่วยป้องกันโรค NCDs , พระสงฆ์มีสุขภาพที่ดีขึ้น และมีความรู้ในการดูแลสุขภาพ
- ด้านสังคม: เพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชนและโรงพยาบาลพระรามเก้า ทำให้ชุมชนและสังคมให้การยอมรับและสนับสนุนกิจกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น มีโอกาสขยายฐานผู้ใช้บริการ
- ด้านเศรษฐกิจ: การใช้งบประมาณเพียง 16,514.70 บาท แต่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างกว้างขวาง
ผลกระทบเชิงลบ (ถ้ามี) :
- พระสงฆ์บางรูปอาจไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาหรือการเดินทาง
- ความต่อเนื่อง: ขาดการติดตามและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องหลังจากเข้าร่วมโครงการ
- ผลกระทบต่อพฤติกรรม: การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพระสงฆ์
การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment - SROI)
การคำนวณ SROI = (มูลค่าผลลัพธ์ทางสังคม - มูลค่าต้นทุนการลงทุน) / มูลค่าต้นทุนการลงทุน
ผลประโยชน์ทางสังคมที่ได้รับ:
ด้านสุขภาพ:
- พระสงฆ์ 18 รูปได้รับการตรวจสุขภาพและคำแนะนำด้านโภชนาการ
- ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ในระยะยาว (ต้องมีการติดตามเพิ่มเติม)
ด้านสังคม:
- ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัทกับชุมชนและวัดพระราม ๙
- ความเชื่อมั่นของโยมอุปัฏฐากและญาติในโรงพยาบาลพระราม 9
ด้านเศรษฐกิจ: การใช้งบประมาณที่มีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ทางสังคม:
- มูลค่าการตรวจสุขภาพ: 18,000 บาท :ประมาณการณ์ค่าตรวจสุขภาพทั่วไปต่อรูปอยู่ที่ 1,000 บาท
- มูลค่าการลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs: 18 รูป x 5,000 บาท = 90,000 บาท : ประเมินว่าการลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs ในระยะยาวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอนาคต โดยประมาณการณ์ว่าอาจลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย 5,000 บาทต่อรูป
- ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น: ประเมินมูลค่าความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่าง รพ.กับชุมชนและวัด
- รวมมูลค่าผลลัพธ์ทางสังคม: 18,000 บาท + 90,000 บาท = 108,000 บาท
งบประมาณการลงทุน: 16,514.70 บาท
SROI = (มูลค่าผลลัพธ์ทางสังคม) / (งบประมาณที่ใช้จริง) = 18,000 + (18 * 5,000) / 16,514.70 = 6.54
หมายความว่า: ทุก 1 บาทที่ลงทุนในโครงการนี้ จะสร้างผลประโยชน์ทางสังคมกลับมา 6.54 บาท
(การคำนวณ SROI นี้เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้น เนื่องจากมูลค่าของผลลัพธ์ทางสังคมบางอย่างเป็นการประมาณการ ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาและเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำยิ่งขึ้น)
การประเมินผล และ การปรับปรุงโครงการ (Monitoring and Evaluation)
- การบริหารงบประมาณมีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณต่ำกว่าที่ตั้งไว้
แผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน
เป้าหมาย:
- ส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ในชุมชนอย่างยั่งยืน
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัท ชุมชน และวัด
- การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของพระสงฆ์และชุมชน
กลยุทธ์:
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วม: เชิญชวนให้พระสงฆ์และชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินกิจกรรม
- สร้างความต่อเนื่อง: จัดกิจกรรมติดตามผลและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง
- ขยายผล: ขยายโครงการไปยังวัดอื่นๆ ในชุมชน
- การสร้างเครือข่าย: ร่วมมือกับวัดและชุมชนเพื่อขยายโครงการ
ตัวชี้วัดตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน
- จำนวนพระสงฆ์ที่ได้รับการตรวจสุขภาพและคำแนะนำทางโภชนาการ
- ความพึงพอใจของพระสงฆ์และชุมชน
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค
- การลดลงของค่าใช้จ่ายในการรักษา
กิจกรรมการสร้างสรรค์คุณค่าธุรกิจคู่สังคม (CSV)
- สร้างเครือข่ายสุขภาพสงฆ์: สร้างเครือข่ายระหว่างวัด โรงพยาบาล และชุมชนเพื่อส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์
- โครงการโภชนาการสงฆ์: นักโภชนาการแนะนำและให้ความรู้เรื่องอาหารสุขภาพสำหรับพระสงฆ์
- สนับสนุนการออกกำลังกาย: แนะนำกิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์
โครงการ HAPPY MONK "สงฆ์มีสุข" เป็นโครงการที่มีคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้กับพระสงฆ์และชุมชน การประเมินผลกระทบทางสังคมและการลงทุนด้านความยั่งยืนช่วยให้เราเข้าใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและวางแผนการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

